เหล่าเกมเมอร์ทั้งหลายหากกำลังมองหาโน้ตบุ๊คที่สเปกแรงเหมาะสมสำหรับการใช้เล่นเกมโดยตรง และเมื่อดูประสิทธิภาพความแรงของเครื่องแล้วเทียบกับเรื่องราคาถือว่ารับได้ สามารถเรียกได้ว่าเป็น ได้เลย ก็คงต้องยกให้รุ่นนี้ HP Pavilion Gaming 15 โน้ตบุ๊คเกมมิ่งจอบางที่สเปกภายในจัดมาแบบหนัก ๆ เอาใจคนเล่นเกมโดยเฉพาะ โดยสเปกภายในจัด CPU มาให้เป็น Intel Core i5-8300H (2.30 – 4.00 GHz) ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น CPU ที่มีศักยภาพสูงเลย เพราะทำงานแบบ 4 Core/ 8 Thread มีการ์ดจอแยกมาให้เป็น NVDIA GeForce GTX 1050 (4GB GDDR5) อันเป็นการ์ดจอรุ่นยอดนิยมสำหรับการเล่นเกม ฮาร์ดดิสก์ให้มาถึง 1 TB 7200 RPM และ Ram 8 GB DDR4 ขนาดหน้าจอเป็น 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD เป็นแบบด้านเพื่อช่วยลดแสงสะท้อน ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อต่าง ๆ ก็มีมาให้ครบ ทั้ง USB 2.0 จำนวน 1 ช่อง , USB 3.0 จำนวน 2 ช่อง, LAN, HDMI ช่องเสียบต่อพื้นฐานมาหมดทุกประการ และที่สำคัญมาพร้อม USB 3.1 Type-C อีก 1 ช่องด้วย ด้านการออกแบบและดีไซน์รุ่นนี้ก็ถือว่าทำได้สวยงามทันสมัย มีเฉดสีให้เลือกถึง 3 สี นั่นคือ ขาว เขียว และม่วง รุ่นนี้นับเป็นคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คสำหรับเล่นเกมยอดนิยมอีกหนึ่งรุ่นเลยก็ว่าได้ ใครอยากซื้อไว้เล่นเกมรุ่นนี้ถือว่าคุ้ม
ส่วนใครที่ไม่ได้ต้องการใช้เล่นเกม แต่ต้องการโน๊ตบุ๊คราคาถูกที่คุณภาพดี ๆ เอาไว้ใช้ทำงานในระยะยาว ก็ต้องขอแนะนำรุ่นนี้ Lenovo ideapad 720s นี่คือ Ultrabook สุดบางเบาแค่ขนาดของเครื่อง แต่เรื่องประสิทธิภาพไม่ได้เบาไปด้วยแม้แต่น้อย แค่เห็นดีไซน์ก็ต้องบอกว่ารุ่นนี้พรีเมี่ยมสุด ๆ แล้ว ตัวเครื่องดูสง่า มาพร้อมกับโลโก้ Lenovo สีทองอยู่บนฝาหน้าของเครื่อง เป็นการดีไซน์ที่ลงตัว ยิ่งมาดูสเปกยิ่งมั่นใจเลยว่าเป็นความเทพที่ปฏิเสธได้ยากจริง ๆ Lenovo ideapad 720s จัดหนักมาด้วย CPU AMD Ryzen 7 ทำงานแบบ 4 Core/ 8 Thread ส่วนของการ์ดจอเป็น AMD Radeon RX Vega 10 RAM 8GB ให้มาพร้อมกับความจำผ่าน SSD ความจุ 1TB เครื่องมีขนาดไม่ใหญ่มากนักแบตเตอรี่จึงตัวเล็ก แต่แบตเตอรี่เล็กก็สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน 6 – 7 ชั่วโมงเลยทีเดียว ในส่วนของคีย์บอร์ดก็ดูดีมีขนาดที่ใหญ่เห็นได้ชัดเจน พร้อมระบบการรับน้ำหนักการกดนั้นทำได้ดีกว่าอีกหลาย ๆ รุ่นจากค่ายเดียวกัน ที่สำคัญรุ่นนี้มี Touchpad สำหรับใช้สแกนลายนิ้วมือเวลาจะเข้าใช้งานเครื่องด้วย ขนาดของหน้าจอก็ใหญ่ใช้ได้ เป็นขนาด 13.3 คมชัดเหมาะสำหรับการใช้ทำงาน ภาพรวมถือว่าโน้ตบุ๊ครุ่นนี้ตอบโจทย์การใช้ทำงานได้ดีพอสมควร หน้าจออาจจะไม่ใหญ่โตมาก แต่ถ้าใช้สำหรับการทำงานจริง ๆ ก็ถือว่าทำได้ดีมากแล้ว ใครจะใช้พิมพ์งานหรือดูไฟล์เอกสารทั่วไป เชื่อว่าได้ใช้รุ่นนี้ก็คงไม่ผิดหวังแน่นอน โน๊ตบุ๊คราคาถูกที่น่าสนใจจริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายรุ่นที่เราอยากแนะนำ แต่ 2 รุ่นที่เราเอามาแนะนำนี้ก็เรียกว่าคงจะตอบครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การใช้งานแล้ว ทั้งสองรุ่นถือว่ามีความคุ้มค่าในตัวเอง ทั้งดีไซน์และสเปกถือว่าแรงในแบบของตนเองทั้งคู่ หากดูในเรื่องของราคาแล้วก็จะได้ว่าสเปกแรงขนาดนี้ไม่แพงเลยจริง ๆ ไม่ว่าคุณจะต้องการโน้ตบุ๊คไปสำหรับการเล่น หรือการทำงานก็ตาม หากยังไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อรุ่นไหนลองนำ 2 รุ่นที่เราแนะนำนี้ไปเป็นตัวเลือกสำหรับการพิจารณาก่อนก็ได้ ซึ่งเรามั่นใจว่าถ้าคุณได้ลองสัมผัสประสิทธิภาพของทั้งสองรุ่นนี้ คุณจะต้องชอบและพร้อมที่จะควักกระเป๋าซื้อมาครอบครองอย่างแน่นอน
หน้าจอ Laptop ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดก็มีขนาดให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น 10.1, 11, 12, 13, 14, 15.6, 17.3 นิ้ว ซึ่งบอกเลยว่ามีหลายขนาดมาก ว่าแต่จะเลือกขนาดหน้าจอเท่าไรดี ไปดูความเหมาะสมของหน้าจอโน๊ตบุ๊คในการใช้งาน 10 – 11 นิ้ว โน๊ตบุ๊คขนาดเล็กแบบนี้จะเหมาะสำหรับเด็กนักเรียน ไม่ก็ผู้หญิง เนื่องจากตัวเครื่องจะมีน้ำหนักเบา และมีขนาดเล็ก ซึ่งจะช่วยให้พกพาได้สะดวก แต่หน้าจอค่อนข้างเล็กแบบนี้จึงไม่เหมาะกับผู้สูงอายุ ที่สายตาไม่ค่อยดี 12 – 13 นิ้ว โน๊ตบุ๊คขนาดกำลังดีไม่เล็กจนเกินไป แล้วก็มีน้ำหนักไม่มากเกินไปด้วย ส่วนใหญ่ไม่ถึง 2 กิโลกรัม เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ที่ตกการพกพาไปเรียน หรือไปทำรายงาน ทำงานนอกบ้าน ได้คล่องตัว 14 นิ้ว โน๊ตบุ๊คขนาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เป็นขนาดพอเหมาะ สเกลหน้าจอเหมาะสมกับการทำงาน และเหมาะสำหรับคนที่ต้องความครบครัน พกพาไปไหนคล่องตัวพอสมควร 15 นิ้ว ถ้าต้องการใช้พื้นที่จอในการใช้งานมากๆ เช่น เล่นเกมส์ ทำงานเอกสารอย่าง Excel งานกราฟิก ตัดต่อภาพ ขนาดจอ 15 นิ้วกำลังเหมาะสม เพราะจะเห็นมุมมองภาพได้กว้างกว่า แต่ว่าอาจจะพกพาไปข้างนอกไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะตัวเครื่องใหญ่ และน้ำหนักค่อนข้างหนัก 17 นิ้ว ขึ้นไป โน๊ตบุ๊คที่เหมาะกับคนที่ต้องการใช้งานจอใหญ่สุด ๆ เพื่อพรีเซนต์งานข้างนอก หรือทำงานเฉพาะทาง เช่น งาน 3D งานตัดต่อวิดีโอ เป็นต้น แต่ข้อเสียของโน๊ตบุ๊คจอใหญ่แบบนี้ คือจะหนักมากพอสมควร มีน้ำหนักตั้งแต่ 2.5 กิโลกรัม ขึ้นไป เรียกว่าหนักที่สุดในบรรดาทุกขนาดจอ
CPU เป็นส่วนแรกที่คุณควรดู เพราะจะบ่งบอกถึงประสิทธิภาพว่า Notebook ว่าเร็วในระดับไหน ยิ่งเร็วก็ยิ่งแพง สำหรับผู้ที่ต้องการความเร็วมากๆในการประมวลผล CPU จึงเป็นสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง ผู้ใช้เหล่านี้ เช่น นักพัฒนาซอฟแวร์ นักคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ผู้บริหาร เกมเมอร์ เป็นต้น CPU ที่มีอยู่ในท้องตลาด มีอยู่เพียง 2 แบรนด์ที่นิยมใช้กันอย่าง Intel และ AMD โดยทั้งสองค่ายนี้ ก็ต่างมีจุดดีและจุดด้อยที่แตกต่างกัน เช่น - ทาง Intel เน้น CPU ที่มี Core น้อยกว่าแต่ให้สัญญาณนาฬิกาที่มากกว่าในขณะที่ AMD จะให้คอร์และเทรดที่มากกว่าในราคาที่ถูกกว่า แต่ก็ให้สัญญาณนาฬิกาที่น้อยกว่าเช่นกัน - AMD จะเหมาะกับบรรดาเหล่านักสตรีมเกมที่มีงบจำกัดนั้นจะเข้าถึงได้ดีกว่า เพราะจะได้ภาพที่คมชัดโดยไม่ต้องใช้บิทเรทสูงๆ และถ้าจะเน้นงานจำพวก “mega-task” ที่เน้นเปิดหลายๆโปรแกรม CPU ของ AMD จะทำได้ดี - ส่วน Intel นั้นก็จะเน้นไปในด้านเล่นเกมล้วนๆ เหมาะกับกลุ่มคนผลิต content เน้นงานในด้านเดียวและไม่ต้องการเปิดหลายๆ วินโดวส์พร้อมๆ กันนั้นน่าจะเหมาะสมกว่า เพราะ CPU ของ Intel ที่รองรับงานในแบบ “mega-task” นั้นก็มีราคารวมทั้งเซ็ตที่จะประกอบค่อนข้างสูงจนเกินไป แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะเลือก CPU ค่ายไหน สิ่งที่ควรคำนึงคือ จำนวน Core ของ CPU ยิ่ง CPU มีจำนวน Core มากเท่าใด ยิ่งประมวลผลเร็วเท่านั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับค่า overclock ด้วย นอกจากนี้ยังมี CPU อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นตระกูลประหยัดพลังงาน หากใครที่ไม่ใช้งานที่หนักมากและต้องการใช้งานระยะเวลาค่อนข้างนาน ก็ควรพิจารณาในส่วนนี้ อาจจะเลือก Core ที่ไม่สูงมากเป็นตัน
เวลาเราเลือกซื้อโน๊ตบุ๊ค เรามักจะได้ยินว่า การ์ดจอออนบอร์ด หรือการ์ดจอแยก ซึ่งจริงๆ แล้ว ทั้งคู่มันคือประเภทของ GPU หรือ หน่วยประมวลผลกราฟฟิกบนโน๊ตบุ๊ค Graphic Processor Unie โดยทั้ง 2 ประเภทจะเหมาะกับการใช้งานที่ต่างกัน เรามาดูความแตกต่างของ การ์ดจอออนบอร์ด หรือการ์ดจอแยก กันเลย
การ์ดจอออนบอร์ด : เป็นการ์ดจอที่ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับ CPU และจะขอแบ่งใช้ RAM จากระบบหลัก จึงเหมาะกับการใช้งานที่ไม่เน้นการแสดงผลมากนัก ไม่เน้นกราฟฟิคสูง เหมาะจะใช้เพียงดูหนัง HD ท่องอินเตอร์เน็ต ทำรายงาน หรือลุยกับเกมส์ออนไลน์บางเกมส์ได้ แล้วการ์ดจอประเภทนี้จะมีข้อดีตรงที่ประหยัดไฟกว่าด้วย การ์ดจอแยก : การ์ดจอแยกนี้เป็นประเภทที่คนนี้นิยมใช้มาก เพราะจะมี RAM ของตัวเองไม่แบ่งใช้ RAM จากระบบหลัก จึงเหมาะที่จะใช้งานเล่นเกมส์หรือทำงานที่ต้องใช้การประมวลผลภาพมาก ใช้ทำงานกราฟิก หรือเล่นเกมส์ประเภท 3D จะได้ภาพที่สวยกว่าการ์ดจอออนบอร์ด โดยมีแบรนด์ที่นิยมใช้กันอยู่ 2 แบรนด์ คือ AMD กับ NVDIA แต่โน๊ตบุ๊คที่ใช้การ์ดจอแยกนี้จะมีราคาแพงกว่ารุ่นที่มาพร้อมการ์ดจอออนบอร์ดอย่างเดียว และกินไฟมากกว่า แต่ประสิทธิภาพนั้นกินขาดเลยทีเดียว
- HDD ย่อมาจาก Hard Disk Drive เป็นหนึ่งในอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล เทคโนโลยีเริ่มแรกในการบรรจุของคอมพิวเตอร์ มีไว้เก็บข้อมูลหลากหลาย ทั้งไฟล์เอกสาร ภาพ ไฟล์เพลงและอื่นๆ ซึ่งข้อดีคือจะเก็บความจุได้เยอะ แต่ข้อเสียคือ HDD จะทำงานได้ช้ากว่า SSD, และ HHD จะมีเสียงดังเวลาที่ทำงานหนัก - SSD หรือ Solid State Drive ซึ่งเป็นหน่วยความจำที่เรียกได้ว่าเข้ามาแทนที่ Hard Disk Drive จานแข็งในปัจจุบัน โดยตัว SSD จะเป็นแผ่นชิบวงจรเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่อะไร มี Processor ประมวลผลและควบคุมการทำงานของตัวเอง ซึ่งจะคอยคุมการบันทึกข้อมูล Input และ Output ของข้อมูลที่จับลงบันทึกบนMemory ข้อดีของโน๊ตบุ๊คที่ใช้ SSD คือ จะความเร็วในการส่ง-เข้าถึงข้อมูลสูงกว่า HHD และ HDD แถมยังกินไฟต่ำกว่าด้วย แต่จะมีราคาสูงกว่าบรรดาตัวอื่นๆ - HHD หรือ Hybrid Hard disk เป็นเทคโนโลยีที่จับ NAND Flash Memory แบบ SSD มาใส่คู่กับตัว Harddisk จานแข็งครับ ผู้ผลิตเจ้าแรกคือ Seagate แต่ยังไม่เป็นที่นิยมนัก ส่วนใหญ่จะใช้ในกลุ่ม Notebook ประเภท Ultra Slim และนิยมในผู้ใช้ที่ต้องการ Harddisk ขนาดใหญ่แต่มีความเร็วของการเข้าถึงข้อมูล Access Time ที่ต่ำ ซึ่งข้อดีของ HHD นี้จะมีความจุเยอะ และจะทำงานเร็วขึ้นกว่า HDD
จริงๆ แล้ว ทั้ง HDD, SSD และ HHD ต่างก็ดีคนละแบบ ในการเลือกว่าจะเลือก Hard Disk แบบใด ก็อยู่ที่ว่าเราต้องการความเร็วมากเพียงไหน เพราะโน๊ตบุ๊คแต่ละรุ่นจะใช้ประเภทฮาร์ดดิสก์ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้ต้องการความเร็วมากนัก ส่วนใหญ่จะพิจารณาความจุของฮาร์ดดิสก์มากกว่า เช่น 500 GB, 750GB, 1 TB, 2 TB เป็นต้น ว่าต้องการมากเพียงใด เพื่อจะเลือกความจุให้พอต่อการใช้งาน
เรื่องของความจุ RAM นั้น ต้องเลือกเท่าไรถึงจะเพียงพอ คำตอบคือ… ยิ่งความจุ RAM ยิ่งมากยิ่งดี เพราะยิ่งโน๊ตบุ๊คจะยิ่งทำงานได้มากขึ้นและเร็วขึ้น แต่ทว่าโน๊ตบุ๊คที่มีสเปค RAM สูง ก็มีราคาสูงตามไปด้วย ซึ่งในบางครั้งเราไม่ได้ใช้งานอะไรมากมาย ก็ควรเลือกให้พอกับการใช้งานก็ถือว่าคุ้มแล้ว
การแนะนำ RAM ที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในแต่ละประเภท - RAM 1 GB เพียงพอสำหรับใช้งานพื้นฐาน เช่น เข้าเว็บไซต์ เปิดอีเมล์ ใช้อินเตอร์เน็ต แต่เปิดเบราว์เซอร์หลายๆ หน้าต่างอาจทำให้ช้าบ้าง นอกจากนี้สามารถใช้งาน microsoft office พื้นฐานได้ - RAM 2 GB เพียงพอสำหรับการใช้ ท่องอินเตอร์เน็ต เล่นเกมส์ การแก้ไขภาพ โปรแกรมออฟฟิศ หรือเปิดหน้าต่างเบราว์เซอร์มากๆ ได้เท่าที่ต้องการ นอกจากนี้ ยังเพียงพอต่อการใช้โปรแกรมใหญ่ๆ เช่น โปรแกรม Adobe เป็นต้น - RAM 3 – 4 GB ใช้งานพื้นฐานได้หมดเรียกใช้โปรแกรมได้เร็วขึ้น ยังสามารถเรียกใช้งานโปรแกรมขนาดใหญ่ๆ เปิดดูไฟล์ใหญ่ๆ ได้สะดวกรวดเร็วขึ้น เล่นเกมได้ลื่นไหว แก้ไขภาพ ตัดต่อวิดีโอเล็กๆน้อยๆได้ แต่ทั้งนี้หากเป็นระบบปฏิบัติการแบบ 32 bit สามารถใช้ได้แค่ประมาณ 3.2 GB แต่ถ้าเป็นระบบปฏิบัติการ 64 บิต จะใช้ได้เต็มทั้ง 4 GB - RAM 6 – 8 GB เป็นความจุที่เหลือเฟือ ถ้าใช้งานทั่วไป แถมยังใช้ตัดต่อภาพ ตัดต่อวิดีโอใหญ่ๆ ได้สบาย RAM ขนาดนี้เหมาะสมมาก และถ้าต้องการเล่นเกมที่ต้องการความลื่นไหล แต่ต้องตรวจสอบว่า เครื่องที่ใช้งานอยู่รองรับกับ RAM ขนาดนี้หรือไม่ เพราะจะต้องมีระบบปฏิบัติการ 64 bit เท่านั้นถึงสามารถใช้งาน RAM ขนาดนี้ได้ - RAM 12 – 16 GB เป็น RAM อาศัยต้องมีระบบปฏิบัติการ 64 bit ถึงจะใช้ได้ RAM ความจุสูงขนาด 12-16GB มีความจำเป็นสำหรับคนที่เปิดใช้งานโปรแกรมใหญ่ๆ พร้อมๆ กันหลายโปรแกรม เช่น เปิดภาพ, เปิดวิดีโอ CAD หรือแบบจำลอง 3 มิติ,ใช้ Premiere Pro, Photoshop การที่มี RAM ที่มากกว่า 8 GB จะทำให้ลื่นไหลไม่สะดุด นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับการใช้โปรแกรมประเภท virtualization เช่น Microsoft Hyper V หรือ VMWare Workstation เป็นต้น
Post a Comment